บัตรของขวัญถือเป็นหนึ่งในของที่ใส่ไว้ในถุงเท้ารับของขวัญของซานตาคลอสที่ดีเยี่ยม ตราบเท่าที่คุณไม่เผลอเก็บไว้ในลิ้นชักและลืมมันไปตลอดเทศกาลวันหยุด ซึ่งส่วนใหญ่ผู้คนเจอกับปัญหาเหล่านั้นมากกว่า
ในเทศกาลแห่งความสุขสิ้นปีนี้ สมาพันธ์ธุรกิจค้าปลีกแห่งชาติ (National Retail Federation – NRF) คาดการณ์ว่า ชาวอเมริกันจะซื้อบัตรของขวัญเพื่อมอบให้แก่คนที่รักในช่วงเทศกาลเกือบ 30,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งบัตรกำนัลสำหรับร้านอาหารครองแชมป์บัตรของขวัญที่ผู้คนซื้อหามากที่สุด ที่ราว 1 ใน 3 ของยอดขายในปีนี้
จริงอยู่ที่บัตรของขวัญเหล่านี้สามารถขอเคลมคืนเป็นเงินสดได้ แต่ Paytronix ซึ่งติดตามเส้นทางยอดขายบัตรของขวัญของร้านอาหาร ระบุว่า 70% ของบัตรกำนัลเหล่านี้ถูกใช้ภายในเวลา 6 เดือน
แต่มีบัตรอีกจำนวนมาก มูลค่ารวมหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ที่ถูกลืมหรือไม่ได้นำไปใช้ในกรอบเวลาดังกล่าว นั่นคือช่วงเวลาที่บัตรของขวัญจะมีรูปแบบการใช้งานที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เพราะวันหมดอายุหรือค่าธรรมเนียมการใช้งานที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐนั่นเอง
เอพีได้รวบรวมเรื่องราวของบัตรของขวัญที่คุณอาจกำลังมีแผนมอบให้ หรืออาจได้รับในปีนี้
ของที่ถูกรัก แต่มักถูกลืม
นอกเหนือจากเสื้อผ้าแล้ว บัตรของขวัญเป็นของยอดนิยมในเทศกาลแห่งความสุขปีนี้ โดยชาวอเมริกันเกือบครึ่งหนึ่งมีแผนที่จะมอบบัตรของขวัญให้กับคนที่รัก อ้างอิงจากสมาพันธ์ธุรกิจค้าปลีกแห่งชาติ แต่ก็มีบัตรกำนัลจำนวนมากที่ยังคงไม่ได้ในไปใช้จ่าย
บัตรของขวัญมักสูญหาย ไม่ได้รับการนึกถึง หรือผู้รับนำไปเก็บไว้ใช้สำหรับโอกาสพิเศษอื่น ๆ โดยในการสำรวจเมื่อเดือนกรกฎาคม ของบริษัทด้านการเงิน Bankrate พบว่า 47% ของชาวอเมริกันมีบัตรของขวัญหรือบัตรกำนัลที่ไม่ได้ใช้อย่างน้อย 1 ใบ โดยมีมูลค่าเฉลี่ย 187 ดอลลาร์ หรือราว 6,500 บาท นั่นเท่ากับมูลค่าบัตรของขวัญที่ถูกทิ้งไว้เปล่า ๆ ถึง 23,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 796,000 ล้านบาททีเดียว
ของขวัญที่มีเวลาจำกัด
ภายใต้กฎหมายรัฐบาลกลางที่มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2010 พบว่า บัตรของขวัญจะไม่หมดอายุเป็นเวลา 5 ปีนับจากเวลาที่ซื้อ หรือครั้งสุดท้ายที่มีคนเติมเงินเข้าใบในบัตรเหล่านั้น แต่บางรัฐในอเมริกาอนุญาตให้บัตรของขวัญมีอายุยืนยาวกว่านั้น เช่น รัฐนิวยอร์ก ที่ระบุให้บัตรของขวัญที่ซื้อหลัง 10 ธันวาคมปี 2022 มีอายุการใช้งานนานถึง 9 ปี
เท็ด รอสส์แมน นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Bankrate บอกกับเอพีว่า กฎหมายระดับรัฐที่แตกต่างกันเป็นเหตุผลที่ร้านค้าต่าง ๆ เลิกใช้วันหมดอายุที่ระบุหลังบัตรไปแล้ว
จะยอมใช้หรือจะสูญเสียเงินไปดี?
ระหว่างที่บัตรของขวัญใช้เวลาหลายปีกว่าจะหมดอายุ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นเรื่องที่ชาญฉลาดกว่าหากจะรีบใช้ในเร็ววัน เพราะบัตรบางใบ โดยเฉพาะบัตรเงินสดทั่วไปจากวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด จะเริ่มคิดค่าธรรมเนียมการไม่ใช้บัตรหากบัตรเหล่านี้ไม่ได้นำไปรูดใช้จ่ายภายใน 1 ปี ซึ่งกินมูลค่าของบัตรกำนัลที่พึงได้
นอกจากนี้ ประเด็นของเงินเฟ้อก็ทำให้มูลค่าของบัตรลดลงเมื่อเวลาผ่านไป รวมทั้งหากร้านค้าที่มีบัตรของขวัญต้องปิดกิจการหรือล้มละลาย ก็อาจทำให้บัตรเหล่านั้นกลายเป็นแผ่นพลาสติกไร้มูลค่าไปเลย
หากไม่แน่ใจว่าจะเริ่มใช้บัตรของขวัญนี้ได้เมื่อไหร่ ลองปักหมุดปฏิทินในวันใช้บัตรของขวัญแห่งชาติ หรือ National Use Your Gift Card Day ที่จะมีขึ้นทุกวันที่ 20 มกราคมให้เป็นแนวทางในการรีบใช้บัตรได้
ขายต่อบัตรของขวัญได้หรือไม่?
หากมีบัตรของขวัญที่ไม่ต้องการหรือไม่สะดวกจะใช้อยู่ในมือ นี่คือโอกาสทำเงินของคุณ เพราะทางเลือกที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือการขายให้กับธุรกิจรับซื้อบัตรของขวัญ เช่นเว็บไซต์ CardCash หรือ Raise เพียงแต่อาจจะไม่คุ้มทุนเท่าใดนัก
โดยรอสส์แมน กล่าวว่า ร้านรับซื้อบัตรของขวัญจะไม่ให้เงินตามมูลค่าของบัตรที่ซื้อมา แต่จะกดราคาลงราว 70-80 เซนต์ต่อดอลลาร์
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเงินในบัตรของขวัญที่ไม่ได้ใช้บ้าง?
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับรัฐที่ร้านค้าปลีกเจ้าของบัตรของขวัญนั้นจัดตั้งบริษัทอยู่
เมื่อเราซื้อบัตรของขวัญมา ร้านค้าปลีกเหล่านี้สามารถใช้ก้อนดังกล่าวได้ทันที แต่มันก็กลายเป็นภาระหนี้ของบริษัทอีกทอดหนึ่งด้วยเช่นกัน ซึ่งร้านค้าจะต้องมีแผนสำหรับโอกาสที่บัตรของขวัญจะต้องถูกใช้ด้วย
ทุกปีบริษัทใหญ่จะคำนวณ breakage หรือมูลค่าของบัตรของขวัญที่บริษัทเชื่อว่าจะไม่ถูกนำไปใช้ อ้างอิงจากข้อมูลค่าเฉลี่ยในอดีต และสิ่งนี้ถือเป็นรายได้ของบริษัท โดยบางบริษัท อย่าง สตาร์บัคส์ breakage คือตัวขับเคลื่อนกำไรก้อนใหญ่ของบริษัทเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อปี 2022 สตาร์บัคส์เปิดเผยรายได้จาก breakage เป็นมูลค่าราว 212 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7,300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มีอย่างน้อย 19 รัฐในอเมริกา รวมทั้งรัฐเดลาแวร์ ที่บริษัทใหญ่หลายแห่งจัดตั้งบริษัทที่นั่น ระบุให้ร้านค้าปลีกต้องทำงานร่วมกับโครงการทรัพย์สินที่ไม่มีผู้อ้างสิทธิ์ในแต่ละรัฐ ให้จัดการคืนเงินในบัตรของขวัญให้กับผู้บริโภค
สำหรับเงินที่ไม่ได้คืนให้กับผู้บริโภคไปจะไม่วนกลับไปให้กับบริษัท แต่จะนำไปใช้ในโครงการริเริ่มด้านสาธารณะในแต่ละรัฐแทน เนื่องจากจะถือว่าบริษัทเหล่านี้ไม่ได้มอบสินค้าและบริการให้กับลูกค้าเพื่อแลกกับเงินในบัตรของขวัญเหล่านั้น
ขอเงินคืนได้ที่ไหน?
มิชา เวิร์ชคูล ผู้อำนวยการบริหารศูนย์งบประมาณและนโยบายแห่งรัฐวอชิงตัน เปิดเผยกับเอพีว่า ตอนนี้ทั้ง 50 รัฐของอเมริกา รวมทั้งกรุงวอชิงตันมีโครงการดูแลทรัพย์สินที่ไม่มีผู้อ้างสิทธิ์ ซึ่งรวมกันแล้วได้ส่งเงินคืนผู้บริโภคไปราว 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
เวิร์ชคูล มองว่ามันอาจเป็นเรื่องที่ยากที่จะหาเจ้าของบัตรของขวัญที่ไม่ถูกใช้ แต่ด้วยจำนวนบัตรของขวัญดิจิทัลที่มีชื่อของผู้รับระบุอยู่ ได้ช่วยให้การค้นหาและส่งคืนเงินให้กับเจ้าของบัตรกำนัลทำได้ง่ายขึ้น
โดยหน่วยงานดูแลทรัพย์สินที่ไม่มีผู้อ้างสิทธิ์ในแต่ละรัฐได้ทำงานร่วมกับเว็บไซต์ MissingMoney.com ที่ผู้บริโภคสามารค้นหาชื่อเพื่อดูว่ามีทรัพย์สินที่ไม่ได้อ้างสิทธิ์อยู่หรือไม่ ซึ่งรวมถึงเงินสดในบัตรของขวัญเหล่านี้ด้วย
- ที่มา: เอพี
(ที่มา: VOA)