อินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวใหญ่ที่สุดในโลก ครองส่วนแบ่งในตลาดโลกถึง 40 เปอร์เซ็นต์ แต่ในเดือนกันยายนปี 2022 อินเดียได้มีมติห้ามส่งออกข้าวขาด (broken rice) และเพิ่มภาษีส่งออกข้าวไม่ใช่ข้าวหอมมะลิ (non-Basmati rice) เป็น 20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรักษาการจัดหาข้าวให้กับประชากรในประเทศ หลังจากที่ราคาข้าวในตลาดในประเทศพุ่งขึ้นถึง 11.5 เปอร์เซ็นต์ในช่วงหนึ่งปี
การห้ามส่งออกข้าวของอินเดียได้กระทบต่อผู้บริโภคข้าวทั่วโลก เนื่องจากผู้ส่งออกข้าวชั้นนำคนอื่นๆ เช่น ไทยและเวียดนาม ไม่มีสต็อกข้าวเพียงพอที่จะแก้ไขการขาดแคลน ผู้บริโภคในแคนาดา สหรัฐ และประเทศอื่นๆ ได้เริ่มซื้อและสต็อกข้าวจำนวนมาก เพื่อป้องกันการเพิ่มราคา บางร้านค้าได้จำกัดจำนวนการซื้อข้าวต่อคน เพื่อป้องกันการหมดสต็อก
การห้ามส่งออกข้าวของอินเดียยังกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวในประเทศไทย เพราะการลดการส่งออกจากตลาดโลกได้กระตุ้นให้ราคาข้าวในตลาดโลกพุ่งสูงถึงระดับสูงสุดในช่วง 11 ปี ถึงแม้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกจะได้รับผลประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้น แต่ผู้บริโภคในประเทศไทยจะต้องจ่ายราคาสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ การห้ามส่งออกข้าวของอินเดียยังเป็นการเสี่ยงต่อการสูญเสียลูกค้าในตลาดโลก ที่อาจหันไปซื้อข้าวจากผู้ส่งออกคนอื่นๆ หรือปรับเปลี่ยนแหล่งอาหาร
ดังนั้น ประเทศไทยควรจะเลียนแบบอินเดียห้ามส่งออกข้าวหรือไม่? คำตอบขึ้นอยู่กับการคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตในประเทศ และการคำนึงถึงการแข่งขันในตลาดโลก
ถ้าประเทศไทยห้ามส่งออกข้าว เพื่อรักษาการจัดหาให้กับประชากรในประเทศ จะช่วยให้ราคาข้าวในตลาดในประเทศคงที่ แต่จะทำให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวสูญเสียรายได้จากราคาข้าวที่สูงขึ้นในตลาดโลก และจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียชื่อเสียงและลูกค้าในตลาดโลก
ถ้าประเทศไทยไม่ห้ามส่งออกข้าว เพื่อใช้ประโยชน์จากราคาข้าวที่สูงขึ้นในตลาดโลก จะช่วยให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวได้รับผลประโยชน์มากขึ้น แต่จะทำให้ผู้บริโภคในประเทศไทยต้องจ่ายราคาสูงขึ้นด้วย และจะเพิ่มความไม่มั่นคงในการจัดหาข้าวให้กับประชากร
ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะห้ามส่งออกข้าวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตในประเทศ และการคำนึงถึงการแข่งขันในตลาดโลก และการหาสมดุลระหว่างผลประโยชน์และความเสี่ยงที่เกิดขึ้น การตัดสินใจที่ดีที่สุดคือการพิจารณาอย่างรอบคอบและใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันในการตัดสินใจ