30°
Clouds, June 14, 2025 in Bangkok
Breaking News
นายกรัฐมนตรีประชุมทูตไทยทั่วโลก มอบนโยบาย “ทูตเชิงรุกยุคใหม่” ภายใต้แนวคิด “ทีมไทยแลนด์”
  | ข่าว24
ข่าวธุรกิจ
0

นายกรัฐมนตรีประชุมทูตไทยทั่วโลก มอบนโยบาย “ทูตเชิงรุกยุคใหม่” ภายใต้แนวคิด “ทีมไทยแลนด์” | ข่าว24


13/06/2568

พิมพ์

 


นายกรัฐมนตรีประชุมทูตไทยทั่วโลก มอบนโยบาย “ทูตเชิงรุกยุคใหม่” ภายใต้แนวคิด “ทีมไทยแลนด์”

จับมือทูตพาณิชย์ช่วยกันขายสินค้าไทยกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด พร้อมรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติ เสริมจุดยืนที่สง่างามของไทยในบริบทโลกยุคใหม่

วันนี้ (วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568) เวลา 11.17 น. ณ ห้อง Grand Hall โรงแรม The Athenee Hotel 
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายในพิธีปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน: จากนโยบายสู่การปฏิบัติ” โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นางนลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย และนางลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมทั้งเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ ผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศ หัวหน้าสำนักงาน และผู้แทนหน่วยงานทีมประเทศไทยในต่างประเทศ เข้าร่วม 
 
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวยินดีที่ได้พบเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ รวมทั้งสมาชิก“ทีมประเทศไทย”ในต่างประเทศจากทั่วโลกทั้งที่เข้าร่วมทางออนไลน์  โดยการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจโลก ซึ่งจำเป็นต้องหาวิธีที่จะเสริมสร้างและต่อยอดจุดแข็งของประเทศ พร้อมทั้งช่วงชิงโอกาสใหม่ ๆ ภายใต้ความท้าทายที่แปรผันตลอดเวลาได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ พร้อมชี้แจงและให้ข้อมูลที่ถูกต้องในประเด็นสำคัญระหว่างประเทศได้อย่างทันท่วงที เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ทิศทางขับเคลื่อนการต่างประเทศไทย 3 ทิศทาง ได้แก่
 
1) การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ (Action Plan) การทูตเชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ไปอยู่ในจุดที่จะได้ประโยชน์สูงสุด ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางอำนาจและระเบียบโลกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 
 
โดยในระยะสั้น นายกรัฐมนตรีเห็นว่าต้องมีการส่งเสริมเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจเดิมที่เป็นรายได้หลักของประเทศ ทั้งการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร และการท่องเที่ยว อย่างเช่นกรณีส่งออกผลไม้ไทยไปทั่วโลก ต้องมีการทำงานเชิงรุกมากขึ้น เพื่อรักษาความนิยมผลไม้ไทยและขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มความสะดวกด้านการขนส่งให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว สำหรับเรื่องการท่องเที่ยว ต้องขยายตลาดในหมู่นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ รวมถึงกลุ่มผู้เกษียณอายุและกลุ่ม digital nomads ที่เข้ามาอยู่แบบ long-stay
 
ขณะที่ในระยะยาว นายกรัฐมนตรีต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย ผ่านการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมเสริมสร้างความเชื่อมโยง โดยเฉพาะผ่านโครงการใหญ่ของรัฐบาล ทั้งโครงการแลนด์บริดจ์ โครงการสร้างสนามบินแห่งใหม่ทั้งในภาคเหนือและภาคใต้ การยกระดับสนามบินทุกแห่ง ให้ทันสมัย รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ ตลอดจนเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTAs) ทั้งที่คั่งค้างอยู่และที่ไทยควรเปิดการเจรจาด้วย การ up-skill และ re-skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีคุณภาพสำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งรัฐบาลมีการดำเนินโครงการ ODOS (One District One Scholarship) สนับสนุนทุนการศึกษาควบคู่ไปด้วย การส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน และการท่องเที่ยว รวมถึงการเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เพื่อกำหนดกฎระเบียบทางเศรษฐกิจใหม่ของโลก
 
2) การเป็น “ผู้ส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน” ท่ามกลางบริบทโลกที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและกฎระเบียบครั้งใหญ่ โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ไทยควรขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจผ่านการใช้มุมมองด้านการต่างประเทศเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างยั่งยืน โดยเน้นที่ผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญในทุกมิติ เพื่อเข้าใจจุดแข็งและความท้าทาย พร้อมจับสัญญาณโลกอย่างถูกต้องและรู้เท่าทัน ซึ่งจะทำให้ไทยเลือกเดินกลยุทธ์ได้อย่างชาญฉลาด และได้รับผลประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 
 
ขณะเดียวกัน ไทยควรดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนชาวไทยเป็นหลัก ผ่านกลไกทวิภาคีและภูมิภาค และการพูดคุยด้วยมิตรไมตรีในทุกระดับ พร้อมทั้งทำความเข้าใจเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน อันเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างอำนาจต่อรองร่วมกันในบริบทโลกปัจจุบัน 
 
3) การทำงานเป็น “ทีมประเทศไทย” อย่างจริงจังและจริงใจเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่า การดำเนินงานด้านการทูตหรือการต่างประเทศในบริบทโลกปัจจุบันมีหลายมิติและไม่ได้จำกัดอยู่ในมิติการดำเนินงานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ทำให้การขับเคลื่อนการทูตเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันภายใต้แนวคิด “ทีมประเทศไทย” ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำทีมประเทศไทย ต้องการให้กลไกทีมประเทศไทยเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การต่างประเทศ โดยรัฐบาลมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมประเทศไทย ด้วยการชี้เป้าหมายที่ชัดเจน และปลดล็อกเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว บูรณาการ และมีประสิทธิภาพ สามารถนำพาประเทศก้าวข้ามสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน ไปยืนในตำแหน่งที่สง่างามและได้ประโยชน์สูงสุดภายใต้บริบทโลกใหม่ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
 
นายจิรายุกล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการแสดงจุดยืนของไทยในประเด็นสำคัญทั้งระดับทวิภาคี ภูมิภาค หรือระดับโลก รวมถึงการชี้แจงและสื่อสารอย่างเหมาะสมในทุกระดับและหลากหลายช่องทาง เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ เข้าใจถึงท่าทีหรือจุดยืนของไทยอย่างถูกต้อง โดยไทยยึดจุดยืนในสันติภาพ การหาทางออกร่วมการอย่างสันติวิธี ผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ พร้อมสร้างความเข้าใจ และพัฒนาไปพร้อมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะใน 3 กรณีสำคัญที่ต้องมีการสื่อสารและชี้แจงอย่างเหมาะสม ได้แก่ 1. กรณีมาตรการภาษีของสหรัฐฯ 2. สถานการณ์การเมืองในเมียนมา และ 3. กรณีข้อพิพาทกับกัมพูชา เพื่อให้นานาประเทศทราบถึงพัฒนาการและเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินนโยบายของไทยต่อประเด็นดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee – JBC) ในวันพรุ่งนี้ จะมีส่วนทำให้เกิดความเข้าใจระหว่างสองประเทศมากขึ้น
 
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หวังอย่างยิ่งว่า การประชุมในครั้งนี้ จะสร้างความเข้าใจให้กับทีมประเทศไทย เกี่ยวกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนแผนต่าง ๆ ให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ในฐานะหัวหน้าทีม นำทีมประเทศไทยในด่านหน้าทั่วโลกดำเนินการตาม Action Plan ที่ได้ร่วมกันจัดทำในการประชุมครั้งนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป 

ที่มา: ข่าวกระทรวง – ด้านเศรษฐกิจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *