กระแสข่าวแห่คืนใบอนุญาตของผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ จากผลกระทบของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ว่าเป็นข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยไม่พบการคืนใบอนุญาตที่ผิดปกติ
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกระแสข่าวการแห่คืนใบอนุญาตของผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ จากผลกระทบของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing Loans : NPLs) ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ว่าเป็นข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยไม่พบการคืนใบอนุญาตที่ผิดปกติ
ทั้งนี้ สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงการคลังที่ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้แก่ประชาชนรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินจากแหล่งเงินทุนในระบบให้ได้รับสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม และลดการพึ่งพาการกู้ยืมจากเจ้าหนี้นอกระบบ ในขณะเดียวกัน การประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ก็เป็นช่องทางกลไกที่สนับสนุนให้เจ้าหนี้นอกระบบปรับเปลี่ยนมาประกอบธุรกิจการให้บริการสินเชื่อในระบบอย่างที่ถูกกฎหมาย
สำหรับสถานการณ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ในปัจจุบัน จากข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2568 มีผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตและเปิดดำเนินการมีจำนวนสะสมสุทธิ 1,155 ราย ใน 75 จังหวัด (ยกเว้นจังหวัดสิงห์บุรีและจังหวัดอ่างทอง) โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 มีสินเชื่ออนุมัติสะสมจำนวน 5,081,240 บัญชี วงเงินรวม 50,066.09 ล้านบาท มีสินเชื่อคงค้าง มีจำนวน 393,010 บัญชี วงเงินรวม 7,429.15 ล้านบาท นอกจากนี้ ในเดือนมกราคม – เดือนมีนาคม 2568 มีการให้สินเชื่อใหม่เฉลี่ยประมาณ 55,500 บัญชีต่อเดือน วงเงินเฉลี่ยประมาณ 700 ล้านบาทต่อเดือน
นอกจากนี้ ภาพรวม NPLs ของสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ พบว่า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 มี NPLs คิดเป็นร้อยละ 23.40 ของยอดสินเชื่อคงค้าง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ NPLs ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ที่ร้อยละ 23.69 ของยอดสินเชื่อคงค้าง สามารถสรุปได้ว่า NPLs ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ถูกกำหนดไว้ที่ไม่เกินร้อยละ 36 เป็นอัตราที่สะท้อนถึงความเสี่ยงและต้นทุนการดำเนินงานที่สูงกว่าสินเชื่อปกติ เนื่องจากเป็นการให้สินเชื่อแก่กลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงและไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในสถาบันการเงินทั่วไปได้
สำหรับประเด็นการคืนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์นับตั้งแต่ปี 2560 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า มีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์คืนใบอนุญาต จำนวน 106 ใบ โดยสาเหตุส่วนใหญ่ คือ ปัญหาสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปี 2563 ปัญหาขาดแคลนบุคลากร เป็นต้น อย่างไรก็ดี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ยังคงได้รับคำขอใบอนุญาตใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในแต่ละปีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตใหม่ ยังมีจำนวนมากกว่าผู้ที่คืนใบอนุญาต ส่งผลให้มีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สุดท้ายนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันที่กระทรวงการคลังดำเนินนโยบายส่งเสริมการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันในธุรกิจการให้สินเชื่อส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องพัฒนากลยุทธ์ในการประกอบธุรกิจ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และอยู่รอดจากการแข่งขันดังกล่าวทั้งนี้ กระทรวงการคลังในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์อยู่ระหว่างพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สามารถขยายพื้นที่การให้บริการไปในจังหวัดข้างเคียงกับจังหวัดที่สำนักงานใหญ่ของผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตั้งอยู่ ประชาชนรายย่อยมีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยเหมาะสมได้มากขึ้น และกระทรวงการคลังสามารถกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงพัฒนาแนวทางการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์ เป็นต้น โดยกระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่าแนวทางเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้บริการสินเชื่อในระบบได้อย่างยั่งยืน และเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของประเทศได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2169 7130 และสายด่วน 1359
แหล่งข่าว: ด้านเศรษฐกิจ